วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

ยำวุ้นเส้น

วิธีทำ ยำวุ้นเส้น

### ส่วนผสม ###

– วุ้นเส้น 2 ขีด
– กุ้งแห้ง 1 ขีด
– ปลาหมึกสด 2 ขีด
– หมูสับ 1/2 ครึ่งกิโลกรัม
– ถั่วลิสงคั่ว 1 ถ้วย
– หัวหอมใหญ่ 2 หัว
– มะเขือเทศ 2 หัว
– ต้นหอม
– ผักชี
– ผักกาดหอม
– เห็ดหูหนู
– น้ำปลา
– น้ำมะนาว
– พริกขี้หนู

### วิธีทำยำวุ้นเส้น ###

1. น้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด วุ้นเส้นแช่น้ำให้คลายตัว ออกขึ้นใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปลวกให้พอนิ่ม จากนั้นหั่นเป็นท่อนสั้นๆพอดีคำ
2. ล้างหมูและปลาหมึกให้สะอาด ปลากหมึกชั้นเป็นชิ้นพอดีคำ นำหมูสับ ปลากหมึก และกุ้งแห้ง ไปลวกน้ำร้อนให้พอสุกตั้งพักไว้
3. เห็ดหูหนูฉีกออกให้เป็นชิ้น นำไปลวกน้ำร้อนพอให้สุก ถั่วลิสงคั่วร่อนเอาเปลือกออก แล้วบุบให้พอแตก
4. ปอกหัวหอมใหญ่ หั่นตามขวาง มะเขือเทศ หั่นตามขวางเป็นชิ้น ต้อนหอมหั่นเป็นท่อนสั้นๆ
5. ผักกาดหอมเด็ดเป็นใบ ใช้ตามชอบนำไปล้างให้สะอาด ใช้จัดรองจาน
6. คลุกเคล้าวุ้นเส้นกับหมูสับ และปลาหมึก ตามด้วยหอมใหญ่ กับต้นหอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว หริกขี้หนูบุบ ปรุงรสตามชอบ จากนั้นใส่มะเขือเทศตามลงไป
7. ตักยำใส่จานที่รองด้วยผักกาดหอม โรยถั่วลิสงคั่วบุบ กุ้งแห้ง ตามชอบ แล้วตามด้วยเด็ดผักชีเป็นช่อโรยหน้า ยกเสิร์ฟพร้อมรับประทาน

เคล็ดลับลดความอ้วน 7 วัน แบบทำได้จริง

           หากคุณสามารถที่จะรวบรวม และเข้าใจถึงเมนูอาหารที่เหมาะสมในการลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตามวิธีลดความอ้วน 7 วัน ที่กำลังจะขอแนะนำต่อไปนี้ ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้ ก็จะช่วยให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายหุ่นสวยของตัวเอง สำหรับข้อแนะนำเบื้องต้นก่อนเข้าสู่เมนูอาหารแนะนำต่อไปนี้ คือ คุณไม่ควรที่จะข้ามไม่ทานอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง หรือทานอาหารผิดเวลา เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดการขาดสมดุลทางโภชนาการตามแผนที่ได้วางเอาไว้ จนกระทั่งส่งผลให้ แผนการลดความอ้วน 7 วัน ของคุณอาจล้มเหลวอย่างน่าเสียดายทีเดียว หากใครพร้อมแล้วที่จะลดความอ้วน 7 วัน สามารถทานอาหารได้ตามเมนูแนะนำ ดังต่อไปนี้กันเลย

 

         วันที่ 1 : ผลไม้สด ในวันแรกของการลดน้ำหนัก ควรเริ่มจากการปรับสภาพร่างกายด้วยผลไม้สดที่อุดมสมบูรณ์ คุณสามารถที่จะเลือกผลไม้ที่ตัวเองชอบ แต่ให้ยกเว้นการรับประทานกล้วย แล้วเน้นไปทานผลไม้ประเภทแตงโม และแคนตาลูป พร้อมกับดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว นอกจากนี้ คุณไม่ควรที่จะทานอาหารประเภทอื่นๆอีกเลย นอกจากผักดิบ หรือผักต้ม แต่ถ้าคุณรู้สึกห้ว ก็ให้ทานผลไม้ และดื่มน้ำให้มากขึ้น
         วันที่ 2 : ผัก วันนี้คุณสามารถที่จะทานอาหารประเภทผักได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ให้แน่ใจว่าอาหารที่ทำจากผักเหล่านั้น ไม่ได้ผ่านกระบวนการปรุงผ่านน้ำมัน สำหรับอาหารผักที่แนะนำได้แก่ ถั่ว แครอท แตงกวา ผักกาดหอม กระหล่ำปลี ผักกาด เป็นต้น และอย่าลืมดื่มน้ำอย่างพอพียงด้วย
         วันที่ 3 : ผักและผลไม้ ให้แน่ใจว่าคุณหลีกเลี่ยงการทานมันฝรั่งในส่วนของผัก และกล้วยจากในส่วนของผลไม้ แผนการอาหารของวันนี้เริ่มต้นด้วยการทานผลไม้เป็นอาหารเช้า ผักในมื้อเที่ยง ผลไม้ในมื้อเย็น และผักผลไม้ในมื้อดึกอีกครั้ง และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆด้วย
         วันที่ 4 : กล้วยและนม ในวันนี้คุณสามารถทานกล้วย 8-10 ลูก และนมอีก 3 แก้ว สำหรับเป็นอาหารตลอดทั้งวัน ซึ่งในวันนี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกหิวบ้าง แต่ถ้าหากจัดสรรดีๆ ด้วยอาหารปริมาณเท่านี้ก็สามารถที่จะช่วยทำให้คุณอยู่ได้ตลอดทั้งวัน
         วันที่ 5 : มะเขือเทศ ในวันนี้คุณสามารถทานข้าวได้ 1 จาน ในมื้อกลางวัน และมะเขือเทศจำนวนประมาณ 7-8 ผล ในวันนี้ร่างกายของคุณมีโอกาสที่จะผลิตกรดยูริคเป็นจำนวนมาก จึงควรที่จะดื่มน้ำในปริมาณมากขึ้น ประมาณ 12-15 แก้ว
         วันที่ 6 : ในมื้อกลางวันคุณสามารถทานข้าวได้หนึ่งจาน แต่ในมื้อที่เหลือของวัน คุณต้องทานผักเป็นหลักเช่นเดิม และอย่าลืมการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
         วันที่ 7 : ผลไม้และน้ำผัก ในวันนี้คุณได้รับอนุญาตให้ทานข้าว ผัก และน้ำผลไม้ เพื่อช่วยในการลบล้างขับสารพิษที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีรักษาแผลเป็นจากสิว


  1. ป้องกันไม่ให้เกิดสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบคุณควรรีบรักษาให้หายโดยเร็วที่สุด ในระหว่างที่เป็นสิวไม่ควรแกะหรือบีบสิวโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบมากขึ้น หายช้าลง และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังจากสิวหายได้ และไม่ควรล้างหน้า เช็ดหน้า ขัดถูหน้า หรือรบกวนใบหน้ามากจนเกินไป หันมาเลือกใช้สบู่อ่อน ๆ งดเว้นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่เหนียวเหนอะหนะ เพราะจะมีโอกาสกระตุ้นการเกิดสิวได้ ฯลฯ
  2. การใช้ยาทาในรูปแบบต่าง ๆ ยารักษาแผลเป็นจากสิวไม่ว่าจะเป็นการแต้มกรด TCA, การใช้กรดวิตามินหรือยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ อย่าง Retin A เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และการลอกผิวด้วยกรดผลไม้อย่าง AHA, BHA, PHA เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกและเกิดการซ่อมแซม ก็ช่วยทำให้หลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวดูดีขึ้นได้
  3. ครีมลดรอยแผลเป็นจากสิว ที่มีขายทั่วไป ซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินอี วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก ฯลฯ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ถ้าหากไม่ดีขึ้นคงต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงแล้วล่ะ อย่างยี่ห้อที่นิยมใช้กันแล้วได้ผลดีก็มียี่ห้อ MEDERMA (เมเดอร์มา) ที่ช่วยลดรอยดำจากสิวได้ดี ทาแล้วหน้าไม่มันมาก หลอด 10 กรัม ราคาประมาณ 330 บาท, Hiruscar (ฮีรูสการ์) เป็นเนื้อเจลซึมเร็ว อ่อนโยนต่อผิวเพราะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลอด 10 กรัม ราคาประมาณ 350 บาท, Scagel (สกาเจล) เนื้อเจลใส ไร้กลิ่น เกลี่ยง่าย ซึมไว เป็นครีมลบรอยดำจากสิวที่ได้รับความนิยมมากอีกตัวหนึ่ง ฯลฯ
  4. การทำไอออนโต (Iontophoresis) เป็นการอาศัยหลักการผลักยาเข้าสู่ผิวชั้นในด้วยกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น
  5. การฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นการรักษาแผลเป็นนูนด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์และยาต้านการเจริญของพังพืด โดยแพทย์จะทำให้การฉีดยาเข้าไปใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นแบนราบลงได้ แต่อาจจะต้องทำหลายครั้ง เมื่อแผลเป็นยุบแล้ว ก็อาจต้องทำเลเซอร์ซ้ำอีกเพื่อให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น
  6. การฉีดฟิลเลอร์ สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นร่องลึกจนกลายเป็นหลุมสิว คุณสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มชั้นผิวหนังให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม ซึ่งสารที่นิยมนำมาใช้ฉีดมักจะเป็นคอลลสเจนและไฮยารูรอนิค เอซิด (Hyaluronic Acid) แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทันตา แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้ผลถาวร เพราะเมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดสลายไป รอยหลุมสิวก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จึงต้องทำการฉีดซ้ำเรื่อย ๆ ทุก ๆ ประมาณ 6-12 เดือน
  7. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี(Microdermabrasion – MD) โดยใช้ผลึกอัญมณีขนาดเล็กเข้าไปช่วยขัดเกลาผิวชั้นนอกสุดให้หลุดออก เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้นและแผลเป็นก็ดูดีขึ้น
  8. การทำไอพีแอล (Intense Pulsed Light – IPL) เป็นการใช้อานุภาพของแสงความเข้มสูงที่สามารถทะลุทะลวงผ่านขอบเขตของชั้นหนังกำพร้า เข้าไปจนถึงชั้นหนังแท้ โดยไม่เป็นอันตรายกับผิว เพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ๆ ทุก 2 สัปดาห์ และต้องทำขั้นต่ำประมาณ 3-4 ครั้ง จึงจะเห็นผล
  9. การใช้เลเซอร์ เป็นอีกวิธีที่ช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวอย่างทันใจ ซึ่งเลเซอร์ที่ว่าอาจเป็นเลเซอร์กำจัดรอยสิวธรรมดา ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์บริเวณที่เป็นรอยอย่างล้ำลึกและหมดจดมากขึ้น หรืออาจเลือกทำด้วยเครื่อง Fractional Laser หรือ Fraxel® Laser ซึ่งเป็นวิธีการรักษารอยดำจากสิวรวมทั้งรอยแผลเป็นได้ สามารถแก้ปัญหารอยหลุมสิวได้อยู่หมัด แต่การทำเลเซอร์อาจมีข้อจำกัดบางประการและต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผลที่ชัดเจน ซึ่งก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ผิวหนัง
  10. การผ่าตัดรอยแผลเป็นจากสิว ในกรณีที่แผลเป็นจากสิวเป็นหลุมลึกและมีขนาดใหญ่ คุณอาจต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเอารอยแผลนั้นออกไปจากใบหน้า แต่คุณต้องคำนึงถึงโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของแผลนูน เนื่องจากจะเป็นการทำให้เกิดแผลเย็บใหม่ ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แถมราคาก็แพงไม่เบาเลยล่ะ จึงขอแนะนำให้ใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่ถ้าหากต้องกำจัดรอยสิวมาก ๆ และแพทย์ผิวหนังก็เห็นด้วยกับการผ่าตัด กรณีคงไม่น่ากังวลสักเท่าไหร่








แหล่งอ้างอิง : http://frynn.com

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

                      - สวัสดีปีใหม่ 2015 -
    ทางโรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคมได้จัดกิจกรรมวันปีใหม่และวันคริสต์มาสขึ้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น
 ⚫กิจกรรมแสดงละครคริสต์มาส
เป็นกิจกรรมของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โดยแสดงละครในเรื่อง " กำเนิดพระเยซู " เป็นการแสดงที่สนุกมากและได้ประสบการณ์ดีๆที่ได้แสดงกับเพื่อนในห้องที่เรียนด้วยกัน



และนอกจากนี้ยังมีการแสดงอีก1ชุด ซึ่งเป็นการแสดงในการสอบกลางภาค คือ " เต้นลีลาศ "

เป็นการแสดงที่ฮามาก เพราะตื่นเต้นทำให้เต้นผิดเต้นถูกแต่ก็สนุกดี และผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี ❤

สิวเสี้ยน

สิวเสี้ยน อีกปัญหาหนึ่งของสิวที่น่ากวนใจเลยไม่น้อย เพราะเจ้าสิวชนิดนี้จะมาทีเป็นกองทัพ มีสาเหตุการเกิดสิวคล้าย ๆ กับสิวอุดตัน แต่มีความแตกต่างตรงที่สิวเสี้ยนจะมีขนเข้ามารวมตัวอยู่กับไขมันด้วย ซึ่งขนเหล่านั้นจะมีจำนวนมากกว่าเส้นเดียว บางคนแค่สิวหัวเดียวยังมีขนขดอยู่ถึง 50 เส้น แล้วขนที่รวมตัวขดกันอยู่ก็ไม่หลุดร่วงอย่างที่ควรจะเป็น จึงทำให้มันสะสมสิ่งสกปรกแล้วอุดตันจนกลายเป็นสิว
สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ สิวเสี้ยนตามหลักแล้วจะเป็นสิวที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมรูขน โดยมีลักษณะคล้ายกับสิวอุดตันหัวดำและมีกระจุกขนเล็ก ๆ หลายเส้นแทรกอยู่ในหัวสิวอุดตันด้วย มีลักษณะเป็นจุดดำเล็ก ๆ ตามใบหน้า หรือมีหนามแหลม ๆ ยื่นออกมาทางรูขุมขน โดยมักพบขึ้นบริเวณปลายจมูก หน้าผาด ข้างแก้ม บริเวณคาง คอด้านหลัง ซึ่งสิวเสี้ยนในความหมายก็คือกระจุกของเส้นขนอ่อน ๆ หลายสิบเส้นและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันอยู่ในรูขุมขน
ส่วนสิวเสี้ยนอีกความหมายหนึ่ง ที่คนทั่วไปมักใช้ในความหมายของ “ก้อนไขมันอุดตัน” หรือที่เรียกว่า คอมีโดน (Comedone) จะเป็นสิวเสี้ยนที่เกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันมากเกินไป ทำให้ไขมันหลั่งออกมาไม่ทัน จนเกิดเป็นก้อนอุดตันขึ้นมาในท่อรูขุมขน บางครั้งก้อนไขมันอุดตันก็ไม่มีรูเปิด ทำให้เห็นเป็นสิวหัวขาวฝังอยู่ในผิวหนัง แต่สิวเสี้ยนที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้คือสิวเสี้ยนตามความหมายแรก ซึ่งสิวเสี้ยนหรือขนอุดตันนี้ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด นอกจากจะมีปัญหาในด้านความงามหรือก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น

วิธีรักษาสิวเสี้ยน

  1. เริ่มจากดูแลตัวเอง เราสามารถลดสิวเสี้ยนได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยการรักษาความสะอาดบนใบหน้า พยายามอย่าให้หน้ามัน หากหน้ามันระหว่างวันก็ให้ใช้ทิชชู่ซับหน้าแทนการใช้กระดาษซับมัน หรือจะล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าแล้วซับหน้าให้แห้งก็ได้ และไม่ควรล้างหน้าเกินวันละ 2 ครั้ง พยายามเลือกใช้เครื่องสำอางที่ช่วยดูดซับความมัน เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีเนื้อบางเบา เช่น แบบเจลหรือโลชั่น และใช้ในปริมาณน้อย เพื่อลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม เน้นรับประทานผักและผลไม้ให้มาก ๆ เลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว
  2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง การรักษาต้องควบคู่มากับการป้องกัน พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสิวเสี้ยนคุณควรหลีกเลี่ยงไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้หน้ามันหรือปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้รูขุมขนกว้าง เช่น บำรุงผิวหน้าจนเกินความจำเป็น บีบสิวเสี้ยนหรือกดสิวเสี้ยนด้วยตัวเอง รวมไปถึงการนวดหน้า ขัดหน้าบ่อย ๆ เช็ดถูกหน้าแรง ๆ จนเป็นการรบกวนรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกว้างและก่อให้เกิดการอุดตันได้ง่าย จนกลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ
  3. เบนซอยเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide – BP) หรือยาบีพี ให้นำมาใช้ทาให้ทั่วหน้าก่อนการล้างวันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้าและเย็นหรือก่อนนอน โดยให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ยานี้จะออกฤทธิ์ไปลดปริมาณไขมันที่ผิวหนังและช่วยละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขน จึงช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันได้ เริ่มต้นควรใช้ในขนาดความเข้มข้นต่ำก่อนหรือขนาด 2.5% เมื่อผิวเริ่มชินกับยาแล้ว จึงค่อยเพิ่มระยะเวลาการทาให้นานขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของยาเป็น 5% หรือ 10% ไขมันที่อุดตันก็จะถูกละลาย แต่ขนที่คุดเป็นเส้นดำ ๆ นั้น อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การกดออก
  4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท AHA และ BHA (ยาละลายสิวเสี้ยน) เพราะมันจะช่วยทำให้ไขมันอ่อนตัวลง ทำให้เราสามารถเอาสิวเสี้ยนออกมาได้โดยง่าย เมื่อเรานำเอาสิวเสี้ยนออกจากรูขุมจนของเราได้แล้ว ก็ต้องกระชับรูขุมขนด้วยโทนเนอร์ทันที เพียงเท่านี้ก็สามารถลดการเกิดสิวเสี้ยนได้แล้วล่ะ สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภท BHA อาจหาได้ไม่ง่ายนัก แม้ว่าจะใช้ชื่อ BHA (Beta hydroxyl acid) แต่บนฉลากมักเขียนว่า Salicylic acid แถมเรายังไม่รู้ด้วยว่ามี BHA ผสมอยู่มากพอที่ช่วยละลายไขมันได้หรือไม่ เลยทำให้คนใจร้อนรู้สึกว่ามันเห็นผลช้า ดังนั้นถ้าอยากจะใช้ตัวช่วยที่รวดเร็วกว่า BHA ก็ขอแนะนำเป็น “เรตินอยด์” (ภาพ : teeneeshop.com)
  5. ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยละลายการอุดตันของต่อมไขมัน ลดการเกาะตัวของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์บริเวณรูขุมขน จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนใหม่และช่วยทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกมาได้ง่าย ในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบแอลกอฮอล์เบสและแบบวอเตอร์เบส ส่วนการเลือกใช้ก็ดูว่าเราเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรตินเอ (แอลกอฮอล์เบส) หรือ ดิฟเฟอริน (วอเตอร์เบส) โดยเรตินอยด์นั้นจะมีการทำงานคล้ายกับ BHA แต่จะให้ผลรวดเร็วทันใจกว่า ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกมาจากรูขุมขนได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าใช้ร่วมกับมาร์คลอกสิวเสี้ยนและทำการกระชับผิวด้วยโทนเนอร์และเจลสำหรับกระชับรูขุมขนละก็ ผิวของคุณก็จะเรียบเนียนสมใจอยากแล้วล่ะ 


แหล่งอ้างอิง : http://frynn.com

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

ทัศนศึกษา ม.6/1
 
 
 
 
 
 
 
     พวกเราได้ไปทัศนศึกษาที่ " ดรีมเวอร์ " โดยรถทัวร์ของทางโรงเรียน ได้เริ่มเดินทางตั้งแต่ตีสอง เป็นการเดินทางที่สะลืมสะลือมาก 555555 เพราะต้องตื่นดึกเพื่อมาขึ้นรถที่โรงเรียน สถานที่ที่ไปนั้นคือเป็นสวนสนุก ที่มีเครื่องเล่นมากมาย มีสวนน้ำให้เล่น
ดิฉันได้เล่นเครื่องเล่นหลายอย่างมากโดยเฉพาะเครื่องเล่น แกรนแคนหย่อน มันสนุกมากและมีความสุขมากที่ได้เล่นกับเพื่อนๆ
 
 

 

วิธีทำให้หน้าใส รับประกันเลย100%แต่ต้องทำทุกวันนะ

 
คือว่าเรามีวิธีทำให้หน้าใส เลยจะมาเล่าสู่กันฟัง แล้วลงทุนน้อยด้วยราคา 12 บาทเอง
 
 

วิธีทำ


1.ใช้โยเกิร์ต รสธรรมชาติ (เท่านั้น) รศอื่นห้ามนะ

2.ล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง

3.จากนั้นก็ใช้ "โยเกิร์ต"พอกที่หน้า (บางๆ)

4.แล้วทิ้งไว้ให้แห้งติดกับหน้าเลย

5.จากนั้นก็ใช้นิ้วขัดโยเกิร์ตที่หน้า ขัดจนรู้สึกว่าเจ็บหน้าแล้วอ่ะ ก็พอได้

6.จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำเปล่า แล้วเช็ดให้แห้ง

7.จากนั้นคุณจะรู้สึกว่าหน้าดีขึ้น จากนั้นก็ใช้ครีมรสน้ำนม(เท่านั้น)ทาที่หน้าเราแล้วห้ามทาแป้งนะ ทิ้งไว้แบบนั้นแหละ

ก็มีแค่นี้แหละนะ ลองทำดู ลงทุนน้อยได้ผลมากนะ เพราะเราทำแล้ว รู้สึกหน้าใสขึ้นเยอะเลย รับรองเลย แต่ว่าต้องทำทุกวันนะ ต้องนอนถึงจะได้ผลที่สุด ^__^
 
 
 
 
แหล่งอ้างอิง : http://creamnhasai.com