วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีรักษาแผลเป็นจากสิว


  1. ป้องกันไม่ให้เกิดสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบคุณควรรีบรักษาให้หายโดยเร็วที่สุด ในระหว่างที่เป็นสิวไม่ควรแกะหรือบีบสิวโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบมากขึ้น หายช้าลง และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังจากสิวหายได้ และไม่ควรล้างหน้า เช็ดหน้า ขัดถูหน้า หรือรบกวนใบหน้ามากจนเกินไป หันมาเลือกใช้สบู่อ่อน ๆ งดเว้นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่เหนียวเหนอะหนะ เพราะจะมีโอกาสกระตุ้นการเกิดสิวได้ ฯลฯ
  2. การใช้ยาทาในรูปแบบต่าง ๆ ยารักษาแผลเป็นจากสิวไม่ว่าจะเป็นการแต้มกรด TCA, การใช้กรดวิตามินหรือยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ อย่าง Retin A เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และการลอกผิวด้วยกรดผลไม้อย่าง AHA, BHA, PHA เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกและเกิดการซ่อมแซม ก็ช่วยทำให้หลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวดูดีขึ้นได้
  3. ครีมลดรอยแผลเป็นจากสิว ที่มีขายทั่วไป ซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินอี วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก ฯลฯ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ถ้าหากไม่ดีขึ้นคงต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงแล้วล่ะ อย่างยี่ห้อที่นิยมใช้กันแล้วได้ผลดีก็มียี่ห้อ MEDERMA (เมเดอร์มา) ที่ช่วยลดรอยดำจากสิวได้ดี ทาแล้วหน้าไม่มันมาก หลอด 10 กรัม ราคาประมาณ 330 บาท, Hiruscar (ฮีรูสการ์) เป็นเนื้อเจลซึมเร็ว อ่อนโยนต่อผิวเพราะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลอด 10 กรัม ราคาประมาณ 350 บาท, Scagel (สกาเจล) เนื้อเจลใส ไร้กลิ่น เกลี่ยง่าย ซึมไว เป็นครีมลบรอยดำจากสิวที่ได้รับความนิยมมากอีกตัวหนึ่ง ฯลฯ
  4. การทำไอออนโต (Iontophoresis) เป็นการอาศัยหลักการผลักยาเข้าสู่ผิวชั้นในด้วยกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น
  5. การฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นการรักษาแผลเป็นนูนด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์และยาต้านการเจริญของพังพืด โดยแพทย์จะทำให้การฉีดยาเข้าไปใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นแบนราบลงได้ แต่อาจจะต้องทำหลายครั้ง เมื่อแผลเป็นยุบแล้ว ก็อาจต้องทำเลเซอร์ซ้ำอีกเพื่อให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น
  6. การฉีดฟิลเลอร์ สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นร่องลึกจนกลายเป็นหลุมสิว คุณสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มชั้นผิวหนังให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม ซึ่งสารที่นิยมนำมาใช้ฉีดมักจะเป็นคอลลสเจนและไฮยารูรอนิค เอซิด (Hyaluronic Acid) แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทันตา แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้ผลถาวร เพราะเมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดสลายไป รอยหลุมสิวก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จึงต้องทำการฉีดซ้ำเรื่อย ๆ ทุก ๆ ประมาณ 6-12 เดือน
  7. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี(Microdermabrasion – MD) โดยใช้ผลึกอัญมณีขนาดเล็กเข้าไปช่วยขัดเกลาผิวชั้นนอกสุดให้หลุดออก เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้นและแผลเป็นก็ดูดีขึ้น
  8. การทำไอพีแอล (Intense Pulsed Light – IPL) เป็นการใช้อานุภาพของแสงความเข้มสูงที่สามารถทะลุทะลวงผ่านขอบเขตของชั้นหนังกำพร้า เข้าไปจนถึงชั้นหนังแท้ โดยไม่เป็นอันตรายกับผิว เพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ๆ ทุก 2 สัปดาห์ และต้องทำขั้นต่ำประมาณ 3-4 ครั้ง จึงจะเห็นผล
  9. การใช้เลเซอร์ เป็นอีกวิธีที่ช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวอย่างทันใจ ซึ่งเลเซอร์ที่ว่าอาจเป็นเลเซอร์กำจัดรอยสิวธรรมดา ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์บริเวณที่เป็นรอยอย่างล้ำลึกและหมดจดมากขึ้น หรืออาจเลือกทำด้วยเครื่อง Fractional Laser หรือ Fraxel® Laser ซึ่งเป็นวิธีการรักษารอยดำจากสิวรวมทั้งรอยแผลเป็นได้ สามารถแก้ปัญหารอยหลุมสิวได้อยู่หมัด แต่การทำเลเซอร์อาจมีข้อจำกัดบางประการและต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผลที่ชัดเจน ซึ่งก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ผิวหนัง
  10. การผ่าตัดรอยแผลเป็นจากสิว ในกรณีที่แผลเป็นจากสิวเป็นหลุมลึกและมีขนาดใหญ่ คุณอาจต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเอารอยแผลนั้นออกไปจากใบหน้า แต่คุณต้องคำนึงถึงโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของแผลนูน เนื่องจากจะเป็นการทำให้เกิดแผลเย็บใหม่ ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แถมราคาก็แพงไม่เบาเลยล่ะ จึงขอแนะนำให้ใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่ถ้าหากต้องกำจัดรอยสิวมาก ๆ และแพทย์ผิวหนังก็เห็นด้วยกับการผ่าตัด กรณีคงไม่น่ากังวลสักเท่าไหร่








แหล่งอ้างอิง : http://frynn.com